วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

Test Drive: Mini Cooper S Works

Test Drive: Mini Cooper S Works
The right car for the italian job


          ในที่สุดรถคันนี้ก็พ้น run-in และได้เป็นพระเอกในบทความนี้ซะที เพราะว่าหากนำมา test drive ตอนที่มันอยู่ในช่วง run-in จะไม่สามารถใช้รอบได้เกิน 4000 หากนำมาทดสอบแล้วเครื่องมีเป็นอะไรไปทางผู้แทนจำหน่ายก็จะไม่รับผิดชอบ เพราะผมไม่ได้ทำตามที่เขากำหนด ก็เลยรอให้พ้น run in เลยที่เดียวดีกว่าครับ
หากถ้าจะถามว่ามีรถคันไหนหน้าตาหน้ารัก หน้ากระทืบ พอสูสีกับรถเต่า ผมก็เห็นจะมีแต่เจ้า Cooper นี่แหละที่หน้าตากวนประสาท แกมน่ารัก พอๆกัน โดยในบ้านเราตอนแรกนำเข้ามาแค่ 2 รุ่นคือ Mini Cooper กับ Mini Cooper S ซึ่งหน้าตาภายนอกหากคนไม่รู้ก็คงจะแยกแยะไม่ออกว่ามันต่างกันตรงไหน วิธีดูง่ายๆเลยก็คือ บนฝากระโปรงมีจมูกหรือเปล่า ถ้ามีก็เป็นตัว Cooper S ทางด้านข้างวิธีดูง่ายๆก็คือต้องมีครีบระบายความร้อน ตรงแก้มหน้าครับ พร้อมตัวหนังสือ S โดย โดยตัว Cooper S จะมีแต่เกียร์ธรรมดาครับ 6 Speed ครับ ซึ่งทำให้ตัว Cooper S ขายได้น้อยเพราะ คุณผู้หญิงส่วนใหญ่คงไม่มีใครอยากเหยียบ clutch ส่วนราคาค่าตัวนั้นต้องเรียกว่าแพงเลยหละ เพราะทะลุ 2 ล้าน ไปไกล


ตอนหลังทาง BMW ประเทศไทยเห็นว่ายอดขายไม่ค่อยกระเตื้อง ก็เลยส่งรุ่นถูกลงมาเพิ่มทางเลือก (แต่ก็แพงอยู่ดี) ซึ่งก็คือ Mini One ซึ่งมีวิธีดูง่ายๆ คือหลังคาจะเป็นสีเดียวกับตัวรถ แล้วก็ให้กระทะล้อมาแทน (อันนี้ผมรับไม่ได้เป็นที่สุด รถจ่ายกับข้าวเดี๋ยวนี้ยังให้ Mag เลย)
ส่วนพระเอกของเรานั้นจริงๆ แล้วก็มีพื้นฐานมาจากตัว Cooper S นั้นแหละครับ แต่ว่าตัวรถได้รับการ modify เพิ่มทั้งภายนอก ช่วงล่างและเครื่องยนต์จากสำนัก John Cooper Works โดยสำนักนี้จะทำเฉพาะ Mini เท่านั้น โดยอุปกรณ์ต่างๆสั่งตรงมาจากอังกฤษ และเป็นชุด kit คือใส่ได้เลยไม่ต้องดัดแปลง แถม warranty จากศูนย์ผู้แทนจำหน่าย Mini ก็ยังคงมีอยู่เหมือนเดิม (โอ้ว George มันเยี่ยมจริงๆ)


EngineStraight 4 DOHC 4 Valve/Cylinder
Cylinder Capacity1,598 cc
Max. Power200 bhp @ 6,950 rpm
Max. Torque210 Nm (177 lb-ft) @ 4,000 rpm
Weight/Power Ratio0.18 bhp / kg
TransmissionFF
Gear Box6-Speed Manual
0-1007.0 sec
0-400- sec
0-1000- sec
100-0- sec
Top Speed226 km/h
Length3,655 mm
Width1,925 mm
Height1,416 mm
Weight1,140 kg


Exterior




แม้ว่าชื่อจะขึ้นต้นด้วย Mini แต่ว่าตัวจริงผมว่ามันไม่ค่อย Mini อย่างที่บอกไว้หรอก หากพิจารณากันดีๆแล้วจะเป็นว่าขนาดตัวมันใหญ่ทีเดียวเลยหล่ะ ที่มันหลอกตาคันเล็กอาจจะเพราะว่า Mini เป็นรถที่หน้าสั้น ท้ายตัด เลยทำให้มันดูเล็กกว่าความเป็นจริง (หากนำมาจอดเทียบกับ Mini เก่าจะดูเหมือนกับพ่อกับลูก เพราะตัวใหม่มันใหญ่กว่าตัวเก่าบาน)



ภายนอกของ Mini Cooper S จะเด่นสะดุดตาอยู่แล้ว แต่ว่าเพื่อความไม่เหมือนใครคันนี้จึงได้เพิ่ม body part จากสำนัก John Cooper เข้าไปทั้งคัน เริ่มจากกันชนหน้าที่ยกเปลี่ยนทั้งชิ้น โดยกันชนหน้าของ John Cooper จะมีช่องดักลมมากขึ้นกว่าของตัวธรรมดา เพื่อเข้าไประบายความร้อนให้กับห้องเครื่องได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังเปลี่ยนจากกระจังหน้าที่เป็น โครเมียม ไปเป็นแบบลายตะขาย ดูดุดันขึ้นอีกเยอะ โดยกันชนตัวนี้จะมีชายล่างมาให้ในตัว เพื่อระบบ aero dynamic ที่ดีขึ้น ไฟหน้านั้นเป็นแบบ Xenon มาพร้อมทั้งระบบล้างโคมไฟหน้าที่ซ่อนเก็บอยู่มิดชิด พร้อมทั้งท่านเจ้าของรถได้นำไปติดไฟตัดหมอกให้เหมือนกับรถคันที่แสดงใน หนังเรื่อง Italian Job (ใส่เข้าไปดูๆแล้วคล้ายกับรถมีหนวด)



ทางด้านข้างก็ได้ใส่ skirt เข้าไปใหม่ ทำให้รถดูเตี้ยลง พร้อมทั้งเปลี่ยนไปใช้ Mag ขนาด 17” (ของเดิมให้ 16”) ลาย ส่วนทางด้านหลังก็เปลี่ยนยกกันชนเหมือนกัน โดยทางด้านท้ายจะเปลี่ยนหม้อพักเป็นแบบท่อคู่พร้อมสัญลักษณ์ John Cooper บนปลายท่อ พร้อมทั้งได้เปลี่ยนไฟท้ายเป็นแบบโคมใส ที่อันนี้แล้วแต่คนชอบละกันผมไม่ขอออกความเห็นครับ
เมื่อใส่ body part เสร็จแล้วก็จัดการติด sticker รอบคัน โดยติดลายหมากรุกบนหลังคา (sticker ของศูนย์นะครับ) พร้อมทั้งเปลี่ยนกรอบกระจกมองข้างให้เป็นลายเดียวกับหลังคา (อันนี้เป็นกรอบครอบทับครับ ไม่ใช่ sticker) เพิ่มความกวนประสาทให้กับผู้พบเห็นขึ้นอีกเยอะ




Engine




เครื่องยนต์เดิมๆของ Cooper S นั้นเท่าที่ผมเคยลองขับสมัยตอนที่มันเปิดตัวใหม่ๆ ถือว่ามันตอบสนองได้ตามใจสั่งเลยล่ะ เพราะรถคันไม่ได้ใหญ่มาก แต่มีแรงม้าถึง 163 แรงม้า พร้อมกับเกียร์ธรรมดา 6 Speed ถือว่าเอาเรื่องเลยกับรถคันขนาดนี้แต่คันนี้ได้ทำการ modify ด้วยชุด kit ของ John Cooper จากบริษัททั้งตัวเพื่อเพิ่มความมันส์ในการขับขี่ โดยชุด kit นี้จะเป็นแบบใส่กับของเดิมได้เลย (เน้นเปลี่ยนใหม่หมด ไม่เน้นแปลง) ประกอบไปด้วย Supercharge ที่สามารถผลิตแรงม้าได้มากกว่าเดิม, ปะเก็นผาสูบ, ลูกสูบที่มีความทนทานมากขึ้น, Intercooler ใบใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม รวมไปถึงระบบไฟจุดระเบิด และอุปกรณ์เล็กๆน้อยๆ ไม่ว่าจะเป็น สปริงวาวล์ น๊อตต่างๆ ก็ต้องเปลี่ยนใหม่หมด เพื่อความทนทาน กันพัง (ป้องกันกรณี รถรักอู่)



เมื่อความแรงมีมากขึ้นก็ต้องเปลี่ยนระบบไอเสียใหม่หมด เพื่อความโล่งโปร่งสบาย ไม่เป็นหวัดคัดจมูก โดยทางสำนัก John Cooper จะเปลี่ยนตั้งแต่ header ไล่ไปจนถึง หม้อพักกลาง แล้วก็หม้อพักใบสุดท้าย เพื่อให้ไอเสียระบายได้อย่างรวดเร็วทันใจ โดยปลายท่อไอเสียทั้งสองใบจะมี logo John Cooper สลักอยู่บนปลายท่อทั้งสอง
โดยอุปกรณ์เหล่านี้จะมีการรับประกันจากทางผู้ผลิต อีกทั้งยังไม่ส่งผลกระทบต่อ warranty ของ บริษัท Mini อีกด้วย โดยเมื่อเปลี่ยนอุปกรณ์ต่างๆเข้าไปแล้วระบบ ECU ก็ต้องเปลี่ยนด้วยเช่นกัน เพื่อให้สัมพันธ์กับความแรงที่มากขึ้น โดย ECU ใบใหม่จะมาพร้อมกับชุด kit ใส่แทนของเดิมได้เลย ไม่ต้องเดินสายไฟกันใหม่ พร้อมทั้งยังได้รับการ tune up จากสำนัก John Cooper Works มาเรียบร้อยแล้วว่าใช้กับน้ำมัน octane 95 ได้ไม่มีปัญหา


ส่วนช่วงล่างยังสามารถใช้ของเดิมได้ เพราะช่วงล่างติดรถ ได้รับการออกแบบมาเพื่อไว้แล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนให้เสียตังค์เพิ่ม แต่อย่างใด
โดยทางสำนัก John Cooper การันตีว่าเมื่อรถคันนี้ผ่านการ modify ใน step นี้จะมีแรงม้าทั้งหมด 200 ตัวพอดิบพอดี บางคนอาจจะมองว่าไม่มาก เพราะเดี๋ยวนี้รถ 500 แรงม้าวิ่งกันเกลื่อนถนน แต่หากจะมองอีกแง่หนึ่งว่า รถคันนี้ไม่ได้ทำไว้เพื่อแข่งขันกับใคร แต่ Modify เพิ่มขึ้นเพื่อความสนุกสนานในการขับขี่ที่มากขึ้น นอกจากนั้น หากคุณมองว่ารถขนาดกลางๆ (ไม่อยากบอกว่าเล็ก เพราะตัวมันใหญ่พอๆกับรถญี่ปุ่นขนาดกลางเลย หากจับรถญี่ปุ่นมาตัดหน้า ตัดท้ายผมว่า มันขนาดพอๆกัน เลยนะ) แต่มีแรงม้าถึง 200 แรงม้าที่มาพร้อมกับเกียร์ธรรมดา 6 speed แถมด้วยน่าตาที่แปลก เด่นสะดุดตาบนท้องถนน แค่นี้ก็น่าสนใจแล้วไม่ใช่เหรอครับ


Interior



ภายใน Mini Cooper ก็ออกแบบมาได้น่ารัก น่าใช้ น่ากระทืบเหมือนกับข้างนอกไม่มีผิด อุปกรณ์การตกแต่งต่างๆ ถูกออกแบบมาในแนว Retro เบาะหนังแบบทูโทน พวกมาลัยทรงสองก้าน อ้วนๆ (โดยปกติผมจะเกลียดพวกมาลัยที่มันอ้วนๆ แต่คันนี้ให้อภัยเป็นกรณีพิเศษ) พร้อมกับระบบ multi-function ควบคุมเครื่องเสียงจากพวงมาลัย มีวัดรอบอยู่ตรงกลางอันหน้าคนขับ ส่วนมาตรวัดความเร็วไปอยู่ตรง console กลางแทน
ที่ถูกใจที่สุดคงจะเป็นพวกบรรดา สวิทช์ตรง console กลางไม่ว่าจะเป็น สวิทช์หน้าต่างไฟฟ้า, central lock, ระบบ Traction Control etc. ที่ออกแบบได้กวนประสาทดีมาก คือไม่ได้เป็นปุ่มกดเหมือนกับรถทั่วไป แต่เป็นก้านๆ เหมือนกับที่อยู่บนพวกเครื่องบิน ให้ดีดขึ้น ดีดลงแทน


ระบบอำนวยความสะดวกมี เพียบไม่ต้องห่วงตามสไตล์รถที่ถูกผลิตภายใต้การควบคุมจากบริษัทเยอรมัน ไม่ว่าจะเป็น กระจกไฟฟ้า แอร์ Digital เครื่องเสียงไม่บอกยี่ห้อ (ดูจากหน้าตา คาดว่าจะเป็น BlauPhunk) รวมไปถึงระบบความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็น airbags ที่มีมาให้ถึง 6 ลูก ระบบกันลื่น ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Traction Control, ABS, EBD มากมายเต็มไปหมด หากอยากรู้ว่าระบบความปลอดภัยมีอะไรบ้างไปดู BMW Series 3 ก็ได้ครับ มีมาให้เหมือนกันเด๊ะๆ


สิ่งที่ขาดไป แต่ไม่ถึงกับต้องโวยวาย ก็คือเบาะไฟฟ้า (อันเนี้ย คนแก่ชอบ) กับ sunroof (ซึ่งเอาไว้เลี้ยงปลาหน้าฝน ตอนขอบยางเสื่อม) ซึ่งอันแรกไม่มีบางคนอาจจะไม่ชอบ อย่างไรก็ดีตัวเบาะคันนี้ถึงจะเป็น แบบปรับมือ แต่ก็สามารถปรับได้หลายทิศทาง ซึ่งรถพวกนี้คนที่ขับคงจะมีอยู่คนเดียวปรับทีเดียวก็เรียบร้อย อีกอย่างคุณนาย คุณผู้หญิง ก็คงไม่ขับตัว Cooper S หรอกครับ เพราะอะไรเดี๋ยวจะบอกให้ฟัง ส่วน sunroof นี้ตามความรู้สึกมันไม่จำเป็นสำหรับเมืองไทยเป็นที่สุด จะมีสักกี่วันที่คุณจะได้เปิดรับอากาศบริสุทธ์ เพราะส่วนใหญ่เห็นสำลักควันอยู่แต่ในกรุงเทพฯ



เมื่อคุณลองเข้าไปนั่งดูใน Mini ตัวใหม่ สิ่งที่คุณรู้สึกได้เลยก็คือความกว้าง ของห้องโดยสารที่มีมากกว่า Mini ตัวเก่าอย่างเห็นได้ชัด ลองนั่งดูที่นั่งทางด้านหน้า กว้างขวางเพียงพอ นั่งแล้วไม่รู้สึกเลยว่าอึดอัด ส่วนที่นั่งทางด้านหลัง ก็ไม่ถือว่าอึดอัดนะ ถ้าอยากจะให้สบายหน่อยก็คงต้องขอคนนั่งข้างหน้าเลื่อนเบาะไปข้างหน้าหน่อย ถึงกระนั้นก็เหอะ รถประเภทนี่คุณคงไม่กะจะซื้อไว้ขน เพื่อนอยู่แล้วใช่ไหม ดังนั้นเรื่องที่นั่งข้างหลังจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด
ข้อเสียเดียวที่ผมจะติสำหรับภายในรถคันนี้ก็คือ พลาสติกสีเทาที่ใช้ตกแต่งเป็นอุปกรณ์ภายในมันดูกระจอกๆ ยังไงก็ไม่รู้ ดูไม่คอ่ยสมราคาเท่าไร ไม่แน่ผมอาจจะยังไม่อาร์ตพอ แต่ผมว่ามันดูกิ๊กก๊อกจริงๆนะเนี่ย




Test drive



หลังจากที่ได้รถคันนี้มา ก็ได้แต่คลานไปคลานมาอยู่นาน แต่ไม่มีโอกาศเอาไปลอง performance เต็มๆสักที เนื่องจาก ยังไม่พ้น run-in ไม่สามารถใช้รอบเครื่องได้เกิน 4000 รอบ ความเร็วไม่เกิน 120 ก็เลยดองบทความนี้มาเรื่อยจนรถคันนี้ พึ่งจะพ้น run-in นี่แหละ ถึงได้เอามาลองเต็มๆซักที
ถ้าพูดถึงการใช้งานโดยทั่วๆไปของ เจ้า Mini John Cooper ตัวนี้ หากคุณเอาไปขับในเมือง ไม่มีปัญหาครับ มันเป็นรถที่คล่องตัวดีทีเดียวเลยล่ะ มุมมองและตำแหน่งในการนั่งดีทีเดียว ไม่ค่อยมีจุดอับให้เห็น นอกจากนี้ความที่เป็นรถหน้าสั้น และท้ายตัด ยิ่งทำให้คุณสะดวกในการกะระยะจอด ผสมกับการที่มีระบบ parktronic ยิ่งทำให้คุณเข้าออกที่จอดแคบๆได้ง่ายขึ้นไปอีก ไม่ต้องกลัวว่าหน้ารถจะไปฟาดกับรถคันไหน เวลาถอยเข้าซอง



สิ่งเดียวที่ไม่ค่อยเหมาะสำหรับการใช้งานในเมืองยามชั่วโมงเร่งด่วยก็คือ การที่มันเป็นเกียร์ธรรมดา อีกทั้งน้ำหนัก clutch ที่ค่อนข้างแข็งทีเดียว เมื่อเทียบกับหน้าตาของรถที่ดูน่ารัก ถามว่าแข็งขนาดไหน ผมว่ามันสูสีกับพวกรถญี่ปุ่นบางรุ่นทีเดียว (สูสีพอๆกับ Impreza แต่ไม่ถึงระดับพวก Evo) ดังนั้นหากจะหาความสบายก็คงต้องไปขับตัว Cooper ธรรมดาแล้วล่ะครับ นอกจากนี้ช่วงล่างของตัว Cooper S ก็ยังออกแนว sport กระแทกกระทั้นมันก้น คือมันแข็งเหมือนกับ Mini ตัวเก่าๆ ไม่ได้ออกแนวนุ่มนวล เหมือนกับรถจ่ายกับข้าวบ้านเรา ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบขับรถที่ช่วงล่างออกแนว sport ละก็ คุณจะชอบช่วงล่างของ Mini Cooper S ตัวนี้
การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารถือว่าดีครับ แม้ว่าเสียงเครื่องตอนยืนอยู่นอกรถจะดังจนน่าตกใจ แต่พอเข้ามานั่งในห้องโดยสารกลับไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์เข้ามามากอย่างที่คิด มันเงียบทีเดียวเลย(เมื่อเทียบกับรถทั่วไปๆที่มีขนาดเดียวกัน) เรื่องความเย็นของแอร์ก็พอถูไถ ไม่ได้เย็นจัดประหยัดไฟเหมือนกับรถญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ได้ร้อนตับแตกเหมือนกับรถเมล์เขียว เครื่องเสียงก็ฟังพอไปวัดไปวาได้ ไม่ได้ดีเด่นเหมือนกับเครื่องรถญี่ปุ่นสมัยนี้ พูดง่ายๆก็คือเอาไว้พอฟังแก้ขัดได้ ไม่ต้องนั่งใบ้อยู่คนเดียว
รถคันนี้เมื่อพ้น run-in ผมก็มีโอกาศเอาไปลองบนทางยาวๆ ลากรอบสูงๆดู (สักแถวๆ 5800 รอบ) สมรรถนะพูดได้คำเดียวขับว่าน่าประทับใจ 0-100 อยู่ประมาณ 7 วินาที เผลอจะน้อยกว่านี้หากเปลี่ยนเกียร์เร็วๆ กดพรวดเดียว ถึง 200 ได้ไม่ลำบาก (ถ้าเป็นตัว Cooper S จะไปอืดช่วงที่เกิน 190 ขึ้นไป แต่ตัวนี้ไม่มีอืดช่วงดังกล่าวครับ จะไปอืดก็แถวๆเลย 200 นิดๆขึ้นไป) top speed อยู่แถวๆ 230 นับว่าเร็วทีเดียวสำหรับรถคันขนาดนี้ เกียร์ 6 speed ทำงานได้น่าประทับใจ กระชับแล้วก็แม่นยำ จังหวะสับเกียร์ทำได้อย่างรวดเร็ว



ความที่เป็น supercharge เลยไม่มีอาการรอรอบ กดปุ๊บมาปั้บ ไม่ต้องรอเหมือนกับพวก Turbo ยิ่งส่งให้รถคันนี้จี้ดจ้าดขึ้นไปอีก แต่มันไม่ได้ดึงเหมือนกับพวกรถ Turbo นะครับ มันออกแนวลื่นๆซะมากกว่า คือกดแล้วก็มาเรื่อยๆ ไม่ได้ดึงหลังติดเบาะ ถ้าวัดกันที่ performance ของเครื่อง 1600+Supercharge modify จาก John Cooper แล้วผมว่ามันไม่แพ้รถเครื่อง 2000 เลยทีเดียว (อัตราเร่งดีกว่า Alfa 156, C200 Kompressor ซะอีก)
เมื่อเจอโค้ง ถ้าหากคุณมีฝีมือในการควบคุมรถ คุณสามารถโยนรถเข้าโค้งได้ด้วยความมั่นใจครับ รถมีอาการหน้าไวเล็กน้อย แต่ไม่ได้เยอะจนหน้ากลัว พวงมาลัยตอบสนองได้อย่างแม่นยำ ขับเจ้า Mini John Cooper แล้วจะได้อารมณ์คล้ายๆกับขับรถ Go-Kart (แต่ไม่มากเท่ากับขับ Lotus Elise ซึ่งดิบไป) ช่วงล่างมั่นใจได้ว่าหนึบในระดับที่ไว้ใจได้ เมื่อใช้ความเร็วสูงในโค้งรถไม่มีอาการงอแงให้เห็น


ระบบเบรกไว่ใจได้ครับ ไม่มีอาการหวดเสียวให้เห็น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเปลี่ยนเบรคใหม่แต่อย่างใด หากต้องการความมั่นใจมากขึ้น แค่เปลี่ยนผ้าเบรคใหม่ไปใช้แบบ high-friction ก็เพียงพอแล้วครับ
เมื่อใช้ความเร็วสูงเสียงลมจะเข้ามาในรถค่อนข้างเยอะ (แต่ไมถึงกับน่าเกลียด) เนื่องจากกระจกหน้าที่ค่อนข้างตั้งชันกับฝากระโปรงหน้า ทำให้มีลมปะทะเวลาวิ่งด้วยความเร็วสูงๆ แต่ก็ไม่ต้องไปซีเรียสอะไรมากเพราะรถประเภทนี้เป็นรถขับเอามัน ลูกค้าที่ชอบ Mini ก็คงเตรียมใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วด้วย



หลังจากที่ใช้มาสักพักจุดด้อยที่เห็นได้ชัดก็คือ ความที่มันเป็นเกียร์ธรรมดาผสมกับ clutch ที่ค่อนข้างแข็ง ทำให้มันไม่เหมาะที่จะใช้ทุกวันในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนสักเท่าไร นอกจากนี้การเข้าเกียร์ถอยต้องอาศัย แรงในการกระแทกให้ไปทางซ้ายสุดถึงจะเข้าเกียร์ถอยได้
ซึ่งหากคุณมีแฟนเอวบาง ร่างน้อย ไม่ค่อยมีแรง ลมพัดก็ปลิวแล้วล่ะก็ เรื่องเข้าเกียร์ถอยนั้นแถบจะลืมไปได้เลย (ผมถึงบอกไงว่าผู้หญิงไม่ขับหรอกครับ คนอื่นๆที่ใช้ Cooper S ก็บอกเหมือนกันว่า ผู้หญิงคงขับลำบาก ผู้หญิงส่วนใหญ่จึงหันไปซื้อ Mini Cooper ตัวธรรมดาซะมากกว่า รวมถึงผู้สูงอายุที่ขี้เกียจเหยียบ clutch ด้วย) ส่งผลให้จำนวน Cooper S บนท้องถนนยิ่งน้อยลงไปใหญ่ (ยิ่งตัว John Cooper ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เห็นอยู่ 2-3 คันไม่รวมคันนี้ในเมืองไทย เท่าที่ผมเห็นนะ) แถมคนที่ไม่ค่อยสนใจยังแยกไม่ออกอีกต่างหากว่ามันแตกต่างจากตัวธรรมดาตรงไหน น่าน้อยใจซะไม่มี



จุดด้อยอีกประการ ก็คือการบริโภคน้ำมัน ที่ต้องใช้คำว่าโ-ตร แ-กบรรลัย หากขับเรื่อยเปื่อยอยู่ในเมืองตกประมาณ 7 กิโลต่อลิตร หากทั้งกด ทั้งซัด ทั้งมุดและลากรอบยันเกจ์ มีโผล่ 4-4.5 กิโลลิตร นับว่า Mini John Cooper เป็นรถที่ไม่สนองนโยบายประหยัดพลังงานของรัฐบาลทักษิณสุดๆ อัตราการบริโภคระดับนี้สูสีกับSupercar บางรุ่นเลยทีเดียว ยิ่งราคาน้ำมันสูงอย่างนี้ เจ้า Mini John Cooper ยิ่งทำให้เงินในกระเป๋าคุณหายไปอย่างรวดเร็ว


สรุป


ถ้าคิดจะหาความคุ้มค่าจาก Mini Cooper ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนก็คงไม่มีหรอกครับ โดยเฉพาะเจ้า Mini John Cooper ที่ราคาแตะ 3 ล้านบาท หากจะหาความคุ้มค่า คุณสามารถหาได้จากรถรุ่นอื่นอีกเยอะเลย ไม่ว่าจะเป็นความกว้างของห้องโดยสาร หรือ ความหรูหรา ภูมิฐาน (ยิ่งเป็นกรณีรถมือสองนี่ มีให้เลือกกบานเบอะ) อย่างไรก็ดี Mini John Cooper ก็มีสิ่งที่รถรุ่นอื่นไม่อาจให้ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความหล่อ ความแปลกตา และเป็นที่สนใจของผู้คนบนท้องถนน performance ที่ยอดเยี่ยมของเครื่องขนาดแค่ 1600 cc. แต่ขับสนุก กดตูมเดียวถึง 200 และให้ความรู้สึกคล้ายๆรถ Go-Kart นิดๆ ต้องใช้ฝีมือในการขับเข้าโค้งเมื่อใช้ความเร็วสูงๆ


ส่วนเรื่องอุปกรณ์ Modify หรือ bodypart ทางผู้แทนจำหน่ายเค้าสั่งให้คุณได้อยู่แล้ว นอกจากนี้ก็ยังมีร้านตกแต่งชั้นนำบางร้านนำเข้ามาขายเช่นกัน เรื่องราคาไม่ต้องห่วง แพงแน่ แต่คนที่ซื้อรถราคาขนาดนี้แล้วคงไม่ค่อยเกี่ยงหรอก (มั้ง)
หากคุณต้องการรถขนาดกลาง(ค่อนไปทางเล็ก) performance ดีๆ มีศูนย์บริการครบครัน แล้วก็ขับไปไหนมีแต่คนมอง ผู้ชายก็ขับได้ไม่ถูกมองว่าแต๋ว ผมว่า Mini John Cooper หรือ Cooper S เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเลยละครับ


Article By Narun Lee






Acceleration
กดแป๊ปเดียวถึง 200 สบายๆ อัตราเร่งแซงหายห่วง อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ เกียร์ธรรมดา 6 speed ที่ทำงานร่วมกับ superchrage ของสำนัก John Cooper Works
8.5
Top Speed
วิ่งได้ถึง 230 kph จากเครื่องเล็กๆ แค่ 1600 c.c. + superchrage สำหรับรถเล็กๆอย่างนี้ก็เยี่ยมแล้ว
9
Handling
การควบคุมทำได้ดี พวงมาลัยตอบสนองได้อย่างฉับไว และแม่นยำ ช่วงล่างออกแนว sport ทำให้เกาะถนนได้ดี แม้ใช้ความเร็วสูง อย่างไรก็ดีในโค้งจะมีอาการหน้าไวบ้าง แต่ก็แก้ได้ไม่ยาก
8.5
Brake
สอบผ่านไม่ถึงกับดีเลิศแต่ก็ไม่มีอาการหวาดเสียวให้เห็น นอกจานี้ยังมีระบบ electronic ช่วยอีกเพียบ
8
Looks
หน้าตากวนประสาท น่ารัก น่ากระทืบ ใครเห็นก็ชอบ แถมผู้ชายก็ขับได้ไม่ถูกมองว่าเป็นตุ๊ด ยิ่งเป็นตัวที่มี bodypart ของ John Cooper ยิ่งหล่อกว่าเดิมอีก
9
Comfort
เทียบกับ Mini ตัวเก่า แล้วคนละโลก หน้ามือกับหลังตีน ที่นั่งด้านหน้ากว้างขวางสบายมาก อุปกรณ์อำนวยความสะดวกก็มีให้พร้อม ขาดอย่างเดียวก็คือ เบาะไฟฟ้า ขนาดที่วางแก้วยังมีให้เลย
8
Daily Usageจะไม่เหมาะกับการใช้ในชั่วโมงเร่งด่วนก็ตรงที่มันเป็นเกียร์ธรรมดากับ clutch ที่แข็งนี่แหละ บวกกับเกียร์ถอยที่ต้องออกแรงถึงจะเข้าได้ ลืมเรื่องที่จะให้ผู้หญิงใช้ทุกวันไปได้เลย แต่ถ้าตัดเรื่องนี้ไปได้ แล้วใจรักที่จะขับก็ OK แอร์ก็เย็น หน้ารถที่สั้น ท้ายรถที่สั้นทำให้ถอยเข้าที่แคบๆสะดวก ไม่ต้องกลัวจะเอาหน้าไปฟาดใคร
7
Value
หากคิดว่าเป็นราคาเมืองนอก คืออยู่แถวๆ 12,000 ปอร์น Mini John Cooper จะเป็นรถที่คุ้มค่ามากๆ แต่พอเจอกำแพงภาษีมหาโหดทำให้ค่าตัว แตะ 3 ล้าน กับรถคันเล็กๆอย่างนี้ จะไปหาความคุ้มค่าคุ้มราคาที่ไหน นอกจากใจรักลูกเดียว
5

More Pictures





อ้างอิง  www.motortoday.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น